เมนู

ในกาลนั้น เสนาบดี พูดกับภูษามาลาของพระเจ้าแผ่นดินว่า
" แกจักแต่งพระมัสสุของในหลวงเมื่อไร ?"
ภูษามาลา. พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้แหละ.
เสนาบดีนั้น ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่เขาแล้ว พูดว่า " ข้ามีกิจอยู่
(อย่างหนึ่ง)" เมื่อเขาถามว่า " กิจอะไร นาย ?" บอกว่า " แกต้องทำ
เป็นเหมือนจะทำการแต่งพระมัสสุของในหลวง สบัดมีดโกนให้คมกริบ,
ตัดก้านพระศอเสีย จัก (ได้) เป็นเสนาบดี, ข้าจักเป็นพระเจ้าแผ่นดิน.
เขารับว่า " ได้ " ในวันแต่งมัสสุถวายในหลวง เอาน้ำหอมสระสรงพระ-
มัสสุให้เปียก สบัดมีดโกน จับที่ชายพระนลาตคิดว่า " มีดโกนมีคมร่อย
ไปเสียหน่อย, เราควรตัดก้านพระศอโดยฉับเดียวเท่านั้น" ดังนี้แล้ว
จึงยืนส่วนข้างหนึ่ง สบัดมีดโกนอีก.
ในขณะนั้น พระราชาทรงระลึกถึงมนต์ของพระองค์ได้ เมื่อจะ
ทรงทำการสาธยาย ตรัสว่า "ฆเฏสิ ฆเฏสิ, กึการณา ฆเฏสิ ?
อหํปิ ตํ ชานามิ ชานามิ."

เหงื่อไหลโซมจากหน้าผากของนายภูษามาลาแล้ว. เขาเข้าใจว่า "ใน
หลวงทรงทราบเรา" กลัวแล้ว จึงโยนมีดโกนเสียที่แผ่นดินแล้ว หมอบ
กราบลงแทบพระบาท.

กุสายของพระราชา


ธรรมดาพระราชาทั้งหลายย่อมเป็นผู้ฉลาด, เพราะฉะนั้น พระองค์
จึงตรัสกะเขาอย่างนี้ว่า " เฮ้ย ! อ้ายภูษามาลาใจร้าย มึงเข้าใจว่า 'พระ-
เจ้าแผ่นดินไม่รู้มึงหรือ ?"

ภูษามาลา. ขอพระองค์ โปรดพระราชทานอภัยแก่ข้าพระองค์เถิด
พระเจ้าข้า.
พระราชา. ช่างเถอะ, อย่ากลัวเลย, บอกมาเถิด.
ภูษามาลา. พระเจ้าข้า เสนาบดีให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่ข้าพระองค์
บอกว่า " แกจงทำทีเป็นแต่งพระมัสสุของในหลวง ตัดก้านพระศอเสีย,
เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว, ข้าจักเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตั้งแกให้เป็น
เสนาบดี."
พระราชา ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงดำริว่า " เราได้ชีวิตเพราะ
อาศัยอาจารย์" ดังนี้แล้ว จึงดำรัสสั่งให้หาเสนาบดีมา (เฝ้า) ตรัสว่า
" เสนาบดีผู้เจริญ ชื่อว่าอะไรที่เธอไม่ได้แล้วจากสำนักของฉัน. บัดนี้
ฉันไม่อาจจะดูเธอได้, เธอจงออกไปจากแคว้นของฉัน" รับสั่งให้เนร-
เทศเขาออกจากแว่นแคว้นแล้ว ก็รับสั่งให้มาณพผู้อาจารย์มาเฝ้า ตรัสว่า
" ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ชีวิตเพราะอาศัยท่าน" ดังนี้แล้ว ทรงทำ
สักการะใหญ่ ได้พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่อาจารย์นั้นแล้ว.
มาณพในครั้งนั้นได้เป็นจูฬปันถก, พระศาสดาเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์.
พระศาสดา ครั้นทรงนำอดีตนิทานนี้มาแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน จูฬปันถกก็โง่อย่างนี้เหมือนกัน. แม้ในกาลนั้น
เราก็ได้เป็นที่พึ่งพำนักของเธอ ยังเธอให้ตั้งอยู่ในโลกิยทรัพย์แล้ว, ใน
วันรุ่งขึ้น เมื่อกถา (สนทนากัน) ตั้งขึ้นว่า " น่าสรรเสริญ พระศาสดา
ทรงเป็นที่พึ่งพำนักของพระจูฬปันถกแล้ว" ตรัสเล่าเรื่องอดีตในจูฬ-
เสฏฐิชาดก1แล้ว ตรัสคาถาว่า

1. ขุ. ชา. 27/2. อรรถกถา. 1/175. จุลลกเสฏฐีชาดก.

"ผู้มีปรีชาเห็นประจักษ์ ย่อมตั้งตนได้ด้วย
ทุนทรัพย์แม้น้อย เหมือนคนก่อไฟกองน้อยให้ลุก
เป็นกองใหญ่ได้ฉะนั้น."

แล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นที่พึ่งพำนักของจูฬปันถกนี้เฉพาะ
แต่ในบัดนี้หามิได้. ถึงในกาลก่อน ก็ได้เป็นที่พึ่งพำนักแล้วเหมือนกัน ;
แต่ว่า ในกาลก่อน เราได้ทำจูฬปันถกนี้ให้เป็นเจ้าของโลกิยทรัพย์, บัดนี้
ทำให้เป็นเจ้าของโลกุตรทรัพย์" ดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า จูฬกัน-
เตวาสิก แม้ในครั้งนั้น ได้เป็นจูฬปันถก (ในบัดนี้ ), ส่วนจูฬกเศรษฐี
ผู้ฉลาดเฉียบแหลม เข้าใจพยากรณ์ นักษัตร ( ในครั้งนั้น ) คือเรา
นั่นเอง."

พวกภิกษุชมพระจูฬปันถก


อีกวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในธรรมสภาว่า "ผู้มีอายุ
พระจูฬปันถก แม้ไม่สามารถจะเรียนคาถา 4 บท โดย 4 เดือนได้
ก็ไม่สละความเพียร ตั้งอยู่ในอรหัตแล้ว, บัดนี้ได้เป็นเจ้าของทรัพย์
คือโลกุตรธรรมแล้ว."

พระศาสดาสอนให้ทำที่พึ่งด้วยธรรม 4 ประการ


พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ
นั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " ด้วย
เรื่องชื่อนี้ ( พระเจ้าข้า)," จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนา